การบดกาแฟ หัวใจหลักสำคัญสู่การชงกาแฟให้อร่อย

การชงกาแฟที่มีรสชาติทีดีมีกลิ่นหอม นอกเหนือจากการเลือกซื้อเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพแล้ว กระบวนการบดกาแฟก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน เนื่องจากกาแฟแต่ละประเภทจะใช้การบดที่มีความละเอียดแตกต่างกัน ตั้งแต่การบดละเอียดในเอสเพรสโซ ไปจนถึงการบดหยาบในเฟรนช์เพรส

Credit : lifehacker.com

เลือกความละเอียดของการบดให้เหมาะสม

1.การบดเมล็ดกาแฟแบบหยาบ (coarse grind) เหมาะสำหรับการชงกาแฟเฟรนช์เพรส รวมถึงเครื่องชงกาแฟสุญญากาศ และเครื่องชงกาแฟแบบ percolators

2.การบดแบบปานกลาง (medium grind) เหมาะสำหรับการใช้กับเครื่องชงกาแฟแบบดริปที่ทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ และใช้แผ่นกรองที่มีลักษณะก้นแบน แต่ถ้าต้องการใช้กับแผ่นกรองรูปกรวย (cone-shape) ควรบดเมล็ดกาแฟให้มีความละเอียดเพิ่มขึ้น (medium fine grind)

3.การบดสำหรับกาแฟเอสเปรสโซโดยเฉพาะ ถ้าต้องการดื่มกาแฟเอสเปรสโซจากเครื่องชงกาแฟแบบ stovetop หรือต้องการชงกาแฟจากเครื่องชงแบบดริป ที่ใช้แผ่นกรองรูปกรวย ก็ควรบดให้เมล็ดกาแฟจนละเอียด (fine grind) แต่ถ้าเป็นเครื่องที่เอาไว้ชงกาแฟเอสเปรซโซโดยเฉพาะ ควรใช้ผงกาแฟที่มีความละเอียดสูงที่สุด (super fine grind)

Credit : bootic.com

เครื่องบดกาแฟ สำคัญไม่น้อยไปกว่าเครื่องชง

บางครั้งเราอาจเรียกกระบวนการบดเมล็ดกาแฟว่า “มิลล์” ก็ได้ ซึ่งเมล็ดกาแฟที่บดแล้วจะเสื่อมเร็วกว่าเมล็ดกาแฟคั่ว เนื่องจากการสัมผัสกับออกซิเจนในอากาศ ดังนั้นถ้าคุณต้องการดื่มกาแฟที่สดใหม่ ก็ควรที่จะบดกาแฟในปริมาณเฉพาะที่ต้องการชงต่อคราวเท่านั้น โดยทั่วไปการบดกาแฟมี 4 กรรมวิธี ได้แก่

1.Burr grinding

เครื่องบดแบบ Burr มีทั้งแบบธรรมดากับแบบไฟฟ้า การบดด้วย burr grinder จะได้ผงกาแฟบดที่มีความละเอียดสม่ำเสมอ และยังช่วยปลดปล่อยน้ำมันในเมล็ดกาแฟ ซึ่งจะส่งผลทำให้กาแฟของคุณมีความหอมกรุ่นมากยิ่งขึ้น อีกทั้งเครื่องบดหลายรุ่นยังมาพร้อมกับระบบอัตโนมัติ ทำให้คุณสามารถเลือกความละเอียดของการบดได้อย่างง่ายดาย ตั้งแต่การบดหยาบสำหรับเฟรนช์เพรส ไปจนถึงบดละเอียดสำหรบเอสเปรซโซ

เครื่องบดแบบ conical burr จะใช้เวลาในการบดที่นานกว่าเครื่องบดแบบ disk burr แต่จะให้กลิ่นของกาแฟที่หอมกว่า อีกทั้งเสียงจากการทำงานของเครื่องก็ไม่ดังมาก และยังเกิดการอุดตันของผงกาแฟน้อยกว่าด้วย

แต่สำหรับการชงกาแฟสดที่บ้าน การเลือก disk burr จะมีความคุ้มค่ามากกว่า ทั้งนี้เพราะราคาของเครื่องที่ถูกกว่า รวมถึงยังบดได้เร็วและเหมาะกับการบดครั้งละน้อย ๆ

Credit : wired.com

2.Blade grinder

เครื่องบดกาแฟในลักษณะนี้จะใช้ใบมีด (blade) ในการบดเมล็ดกาแฟ เครื่องบดชนิดนี้มักจะมีราคาที่ถูกกว่า burr grinder และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า แต่การบดด้วย blade grinder มีข้อเสีย คือ ความละเอียดของผงกาแฟไม่มีความสม่ำเสมอ ละเอียดบ้างหยาบบ้าง

อีกทั้งการบดกาแฟด้วยวิธีนี้ ยังก่อให้เกิดแรงเสียดทาน ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดความร้อนในระหว่างการบด อย่างไรก็ตามถ้าคุณบดกาแฟในปริมาณเพียงเล็กน้อย ความร้อนที่เกิดขึ้นจะยังไม่มากพอ จนมีผลกระทบต่อรสชาติของกาแฟ นอกจากนี้ blade grinder อาจทำให้เกิดผงกาแฟที่มีลักษณะละเอียดมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดการอุดตันได้ โดยเฉพาะในเครื่องชงกาแฟเอสเปรซโซ

Credit : wisebread.com

3.โกร่งและลูกโกร่ง (Mortar and Pestle)

นี่อาจดูเป็นวิธีที่โบราณสักหน่อย แต่สำหรับการชงกาแฟแบบอาหรับและตุรกี คุณต้องบดเมล็ดกาแฟให้เป็นผงละเอียดที่สุด ซึ่งการบดด้วยเครื่อง burr grinder อาจไม่สามารถทำงานนี้ให้กับคุณได้ ดังนั้นการบดในลักษณะนี้ คุณจำเป็นต้องพึ่งพาโกร่งและลูกโกร่ง

Credit : shutterstock.com

4.Roller grinder

เครื่องบดแบบที่ใช้ลูกกลิ้ง (roller grinder) โดยจะใช้ลูกกลิ้ง (roller) กลิ้งไปบนร่องเพื่อบดเมล็ดกาแฟ ผงกาแฟที่ได้จะมีความละเอียดมาก อีกทั้งการใช้ roller grinder ยังมีแนวโน้มที่จะเกิดความร้อนน้อยกว่าการบดกาแฟด้วยวิธีการอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณต้องการชงกาแฟสดดื่มเองที่บ้าน หรือเปิดร้านกาแฟเล็ก ๆ roller grinder ไม่น่าจะเหมาะกับคุณ เพราะขนาดของเครื่องและค่าใช้จ่ายที่สูงมาก จึงทำให้ roller grinder เหมาะกับโรงงานอุตสาหกรรมเสียมากกว่า

การชงกาแฟให้มีรสชาติที่ดี นอกจากเครื่องชงแล้ว การบดกาแฟก็มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง กาแฟแต่ละชนิดจะใช้ผงกาแฟที่มีความละเอียดแตกต่างกัน เครื่องบดกาแฟแต่ละชนิดก็จะให้ผงกาแฟที่มีลักษณะแตกต่างกัน รวมถึงเครื่องบดแต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นการเลือกเครื่องบดกาแฟที่เหมาะสม ก็จะช่วยทำให้คุณได้ดื่มกาแฟที่มีรสชาติที่ดี

ที่มา : http://www.coffeefavour.com/trick-crush-coffee/